สารบัญ


“โรคเท้าช้าง” . . โรคใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถป้องกันได้ !!

โรคเท้าช้าง หนึ่งในโรคที่เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองที่เราอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักกันมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นโรคที่ท่อน้ำเหลืองบริเวณโคนขาอุดตัน ทำให้การลำเลียงน้ำเหลืองผ่านขึ้นสู่ส่วนบนของร่างกายนั้นถูกกั้นเอาไว้แต่ที่ส่วนขา เมื่อน้ำเหลืองคั่งอยู่ในท่อน้ำเหลืองเป็นเวลานาน มันก็จะทะลักจนซึมออกนอกท่อ และไปแทรกตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของขา ทำให้ขาบวมโตขึ้นมา 

โรคเท้าช้าง คืออะไร

คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิฟิลาเรียชนิด Wuchereria bancrofti หรือ Brugia malayi เนื่องจากตัวเต็มวัยของพยาธิอาศัยจะอยู่ในระบบน้ำเหลือง ดังนั้นคนที่ติดเชื้อพยาธิฟิลาเรียทั้งสองชนิดนี้จะมีการแสดงอาการเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพของระบบน้ำเหลือง เช่น ท่อน้ำเหลืองอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบอาการไข้เท้าช้าง ท่อน้ำเหลืองขยาย พร้อมทั้งมีการอุดตันทางเดินของน้ำเหลือง ทำให้เกิดพังผืดและมีน้ำเหลืองคั่ง จนอวัยวะที่เป็นโรคจะบวมโตขึ้น ซึ่งเรียกว่า โรคเท้าช้าง (elephantiasis) การเกิดภาวะของโรคนี้จะค่อนข้างใช้เวลานาน และจะมีการติดเชื้อพยาธิฟิลาเรียซ้ำๆ สรุปก็คือคนที่เป็นโรคเท้าช้างจะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่มีการระบาดของเชื้อโรคเป็นระยะเวลานาน และโดยส่วนมากเราจะพบภาวะของโรคในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป

 


 

อาการของโรคเท้าช้าง

อาการของโรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพยาธิเติบโตเต็มที่ แล้วเข้าไปสู่ระบบน้ำเหลือง โดยลักษณะของการแสดงอาการของโรคเท้าช้างที่พบได้ มีดังนี้

-การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยโรคเท้าช้างส่วนใหญ่มักไม่ปรากฏอาการของโรค แต่จะพบการปนเปื้อนของเชื้อจากการตรวจเลือดด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ ถึงแม้ไม่มีอาการใด ๆ ให้เห็น แต่การติดเชื้อชนิดนี้ ก็อาจส่งผลเสียหายต่อระบบน้ำเหลืองและไต จนถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ หากไม่ได้รับ

-การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน โดยสาเหตุจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณผิวหนัง รวมถึงร่างกายบางส่วนสูญเสียการป้องกันเชื้อโรค เนื่องจากระบบน้ำเหลืองนั้นเสียหาย การติดเชื้อแบบเฉียบพลันจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.การติดเชื้อเฉียบพลันชนิด (Acute Adeno-Lymphangitis: ADL) ซึ่งพบได้บ่อยกว่าการติดเชื้อแบบ AFL โดยสามารถสังเกตได้ว่า มีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตจนเจ็บบริเวณขาหนีบและใต้วงแขน มีอาการเจ็บ ฟกช้ำ แดงและบวมบริเวณที่ได้รับผลกระทบ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทับซ้อน โดยการติดเชื้อลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้หลายครั้งใน 1 ปี โดยเฉพาะฤดูฝนที่มีความชื้นมาก จะนำไปสู่การติดเชื้อราที่จะทำให้ผิวหนังบริเวณง่ามนิ้มเท้าเกิดความเสียหายและมีโอกาสทำให้พยาธิชอนเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

2.การติดเชื้อชนิดเฉียบพลันชนิด (Acute Filarial Lymphangitis: AFL) พบได้ไม่บ่อยเท่าไหร่นัก สาเหตุนั้นเกิดจากพยาธิที่โตเต็มวัยแล้ว และกำลังจะตาย ไม่ว่าจะตายเองโดยธรรมชาติหรือตายเพราะผู้ป่วยได้รับการรักษาก็ตาม มีการอาการแสดงเป็นตุ่มก้อนเจ็บขนาดเล็กขึ้นบริเวณที่พยาธิตาย หรือขึ้นตามท่อน้ำเหลือง รวมถึงบริเวณอัณฑะด้วยก็ได้ อาจส่งผลให้ระบบน้ำเหลืองฟกช้ำและโตขึ้น แต่การติดเชื้อแบบเฉียบพลันชนิดนี้จะไม่มีไข้ หรือการติดเชื้อทุติยภูมิปรากฏให้เห็น

3.การติดเชื้อแบบเรื้อรัง เมื่อมีการติดเชื้อของโรคเท้าช้างเข้าสู่ภาวะเรื้อรัง จะแสดงอาการคือ ภาวะบวมน้ำเหลือง และนำไปสู่อาการเท้าช้าง นั่นคือจะมีผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่แข็งและหนา โดยส่วนมากมักเป็นที่ขา แต่ก็สามารถเกิดขึ้นที่แขนได้เช่นกัน นอกจากนี้ในเพศหญิงอาจเกิดที่อวัยวะเพศ และเต้านม ในเพศชายอาจส่งผลต่ออัณฑะ และมีบางรายพบว่าเกิดแผลในระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงอาการอื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ปัสสาวะมีสีขุ่นเหมือนนม เป็นต้นโดยกลุ่มอาการ Tropical Pulmonary Eosinophilia เป็นการติดเชื้อโรคเท้าช้างที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน โดยผู้ป่วยอาจมีอาการไอแห้ง ๆ และอาการกำเริบเป็นช่วง ๆ รวมถึงได้ยินเสียงวี้ดดังภายในปอดทั้ง 2 ข้าง มีอาการหอบเหนื่อยหายใจลำบาก ไม่อยากอาหาร รู้สึกไม่สบายตัว น้ำหนักลด และอาจพบว่ามีภาวะต่อมน้ำเหลืองโตหรือภาวะตับโตร่วมด้วย

การป้องกันโรคเท้าช้าง

ทางที่ดีที่สุดในการป้องกัน คือ ควรระวังไม่ให้ถูกยุงกัด ยุงที่เป็นพาหะของโรคเท้าช้าง มักจะออกหากินในช่วงหัวค่ำและใกล้รุ่ง หากอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้ ควรทากันยุง และสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวให้มิดชิด และนอนในห้องที่มีมุ้งลวด หรือกางมุ้งเสมอ นอกจากนี้ยังควรมีการกำจัดแหล่งลูกน้ำยุงลาย และการใช้สารเคมีฉีดพ่นกำจัดยุงโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ 

 

 

สำหรับผู้ป่วยโรคเท้าช้างจะรักษาโรคนี้อย่างไร ?

สำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหา และวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง ถ้าแพทย์พบว่าผู้ป่วยติดโรคพยาธิชนิดนี้ แต่ยังไม่แสดงอาการของโรคเท้าช้าง แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยา Albendazole ขนาด 400 มิลลิกรัมร่วมกับ Hetrazan (diethylcarbamazine, DEC) ขนาด 6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้งต่อปี 

อย่างไรก็ตามแม้ว่ายาตัวนี้ จะมีฤทธิ์ช่วยฆ่าพยาธิที่เป็นต้นเหตุของโรคที่อยู่ในเลือด อีกทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกต่อไป แต่ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าพยาธิที่โตเต็มที่ได้หมด โดยในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อโรคเท้าช้าง แม้ผ่านระยะเวลาของการติดเชื้อหรือพยาธิที่โตเต็มวัยตายไปแล้วก็ตาม แต่ภาวะต่อมน้ำเหลืองบวมก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้อยู่ ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาภาวะต่อมน้ำเหลืองบวมโดยเฉพาะ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อไม่ให้อาการแย่ลงกว่าเดิม 

 

เราสามารถดูแลต่อมน้ำเหลืองของเราให้ดีได้ตั้งแต่วันนี้ด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่ช่วยดูแลระบบน้ำเหลืองอย่าง “ ยาบรรเทาน้ำเหลืองเสียตราชัยพฤกษา " ที่รวมสุดยอดสมุนไพรบรรเทาอาการน้ำเหลืองเสียไว้ถึง 8 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ต้นเหงือกปลาหมอ ใบพลูคาว รากมะดูก รากขันทองพยาบาท หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ รากทองพันชั่ง โกฐน้ำเต้า ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้จะช่วยบำรุงจากร่างกายจากภายใน บรรเทาอาการน้ำเหลืองเสีย และช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ลดและป้องกันบรรเทาอาการของโรคที่มีผลมาจากน้ำเหลืองเสียอีกด้วย หากใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้า สามารถเข้าไปได้ที่ Chaipruksa Herb และสามารถดูรีวิวเพิ่มเติมก่อนได้เลยที่ Chaipruksa Herb Review

สั่งซื้อ ยาแก้น้ำเหลืองเสีย ตรา ชัยพฤกษา

สั่งซื้อ ยาแก้น้ำเหลืองเสีย
ตรา ชัยพฤกษา

สั่งซื้อสินค้าแบบด่วน ส่งด่วนแบบชำระปลายทาง กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วค่ะ